เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง ตำนานเรือผีสิงที่ไร้ลูกเรือไม่มีแม้แต่กัปตันหนึ่งในเรื่องสยองแห่งสามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า
เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง เป็นเรือบรรทุกสินค้า ขนาดใหญ่ที่มี เสาเรือถึง 5 เสา ถูกสร้างขึ้นที่ Bath maine เป็นเมืองท่า ที่อยู่ในประเทศ Sagadahoc County บริษัทที่เป็นคน ต่อเรือขึ้นมาคือ บริษัท จีจี เดียริ่ง ในปี1919 เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์
ตัวเรือมีขนาดความยาว 255 ฟุต ความกว้าง 45 ฟุตและ สูง 26 ฟุต เจ้าของบริษัทที่เป็นคนสร้างเรือ ได้ตั้งชื่อเรือ ตามลูกชายของตน ที่มีชื่อว่า วิลเลี่ยม เมอร์ริตต์ (William Merritt) และเรือลำนี้ได้ทำงานด้วยการขนส่งของเป็นครั้งสุดท้ายที่ ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ก่อนที่จะได้พบเจอกับเรื่อง รวมของแปลก ประหลาด
เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง ตำนานเรื่องเล่าขานสุดสยอง ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100ปี
ในวันที่ 19 ก.ค. ปี 1920 เดียริ่งหรือชื่อเต็มคือ เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง ได้แล่นเรือออก เดินทางจาก บอสตัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน กัปตันวิลเลี่ยม ก็ล้มป่วยกะทันหัน ทำให้ต้องเทียบท่าฉุกเฉิน ที่เมืองลีเวส รัฐเดลาแวร์ ในวันที่ 22 ส.ค. และกัปตันไปหาหมอ ที่เมืองนั้น เพื่อรักษาอาการ ให้เร็วที่สุด
เป็นเวลาเพียง สามวันหลังออกเรือเท่านั้น หลังจากนั้นทาง ตัวบริษัทขนส่งสินค้า ที่เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ผ่านเจ้าตัวเรือลำนี้ ต้องส่งกัปตัน คนใหม่มาอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็คือ วิลลิส วอร์เมลล์ (Willis Wormell) ที่ได้มาทำหน้าที่ เป็นกัปตันคนใหม่ของเรือลำนี้นั้นเอง
และในวันที่ 8 ก.ย. เรือขนส่งสินค้า คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ก็ได้เดินทาง ไปถึงปลายทาง ณ เมืองรีโอเดจาเนโร และสินค้าที่ ได้ลำเลียงมา ก็ได้ถูกขนส่ง ถึงที่หมาย หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาผักของ เหล่าลูกเรือ จากนั้นกัปตันวิลลิส ก็ได้ไปพบกับ กัปตันกู้ดวิน (Goodwin) สหายเพื่อนสนิทเก่าของเขา
และเขาก็ได้ นั่งปรับทุกข์กับ เพื่อนของเขาว่า ต้นหนของเขานั้น ไม่ได้ความเลย แต่ก็ยังดีที่ มีช่างประจำเรือ ที่เก่งและเชื่อถือได้ ต่อมา ในวันที่ 2 ธ.ค. เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ได้แล่นจาก เมืองรีโอเดจาเนโร เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่ บริษัทแม่ที่ได้แล่นออกมาในตอนแรก ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐเมน
และในตอนช่วง ต้นเดือนมกราคม ปี1921 กัปตันวิลเลี่ยม ได้สั่งให้ลูกเรือ ทำการหาซื้อหาเสบียง ที่หมู่เกาะบาร์บาดอส และได้ให้ลูกเรือ ขึ้นไปพักผ่อนที่เกาะนั้น ซึ่งที่เกาะนี่เอง คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
จุดเริ่มต้นเรื่องอาถรรพ์ปริศนาแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากับเรือเดียริ่ง
หลังจากที่ได้เทียบท่าที่เมืองเหล่าลูกเรือก็กระจัดกระจายกันไปพักผ่อน ส่วนชาร์ล ต้นหนของเรือ ก็ได้ไปนั่งดื่มสุราจนเมา เข้าได้นั่งนินทากัปตันของเขาระหว่างดื่มสุรากับกัปตัน ฮิวช์ นอร์ตัน (Hugh Norton) ที่เป็นกัปตันประจำเรือของเรือที่มีชื่อว่า สโนว์ ด้วยคำพูดที่ว่า
เขาเป็นคนที่ต้องคอยดูแลเส้นทางการเดินเรือให้กับตัวของกัปตันตลอดเวลา เพราะเนื่องจากสายตาของกัปตันนั้นไม่ดี แต่ทว่าตัวกัปตันชอบมาแทรกแซงหน้าที่ขอตน ทั้งกับตัวเขาเองและคำสั่งที่สั่งกับลูกเรือ เหมือนว่าเขาไม่ไว้วางใจตน
และไม่ใช่แค่นินทาแต่ยังขู่ว่าจะสังหารกัปตันของตนอีกด้วย อาจเป็นเพราะพิษสุราที่ทำให้เขาพูดอะไรไปโดยที่ไม่ได้ยั้งคิด จนถึงขนาดที่ทำให้ตำรวจที่ประจำเมือง ณ บาร์บาดอส ต้องมาควบคุมตัว เพื่อไปสงบสติอารมณ์เลยทีเดียว
ในวันที่ 9 ม.ค. เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ได้ออกเดินทาง จากเมืองบาร์บาดอส มุ่งหน้ากลับสู่ เมืองพอร์ตแลนด์ และต้องผ่านเขตแดนอาถรรพณ์ ที่รู้จักกันในชื่อของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ในวันที่ 20 ม.ค. เรือขนส่งสินค้าของกองทัพสหรัฐ เอส.เอส. เฮวิตต์ ที่กำลังนำวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตกระสุนปืน
ที่ได้ออกเดินทางจาก เมืองซาไบน์ รัฐเทกซัส และมุ่งหน้าไปส่งยังเมืองพอร์ตแลนด์ เช่นเดียวกับ เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง ที่ต้องผ่านเส้นทางอาถรรพณ์ดังกล่าวด้วย ได้ติดต่อเข้ามาหาที่ชายฝั่ง ในวันที่ 25 ม.ค. ว่าคลื่นลมสงบดี ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร
แต่นั้นคือการติดต่อ ครั้งสุดท้ายของ เรือ เอส.เอส. เฮวิตต์ ที่มีลูกเรือนับ 42 ชีวิตกับสินค้าที่ขนมาเต็มลำเรือ ได้หายไปอย่างลึกลับในเขตของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า 29 ม.ค. ณ แหลมลุ๊กเอาต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ได้พบเห็นกับ เรือลำหนึ่งซึ่ง คาดการว่าน่าจะเป็นเรือเดียริ่ง
กำลังแล่นสวนทางกับตัวประภาคาร เจ้าหน้าที่ได้ทำการส่งกล้องทางไกล เพื่อดูที่ห้องหอบังคับการ เพื่อดูว่ามีกัปตันหรือต้นหนหรือไหม จากนั้นก็ต้องประหลาดใจ กับสิ่งที่เห็น เนื่องจากในห้องบังคับการ นั้นมีแต่ลูกเรือเต็มไปหมด แถมตัวเรือยังไม่มีชื่อเรืออีกด้วย
ไม่พบกัปตัน หรือผู้ที่เป็น ต้นหนของเรือเลย และก็ได้มี ลูกเรือคนหนึ่งผมแดงตัวสูง ได้ทำการตะโกนบอกเขาว่าเรือของเขาเสียสมอไปเนื่องจากพายุ ด้วยกฎของการเดินเรือ ที่ต้องให้เจ้าหน้าที่ ประจำประภาคารตรวจสอบเรือ จึงต้องแจ้งให้กับ ทางเรือที่แล่นผ่านรับทราบ
แต่เนื่องจากตัววิทยุ ของทางประภาคารนั้นเสีย จึงใช้วิธีการดั้งเดิม คือการเป่านกหวีดแทน เขาไม่สามารถติดต่อกับคนบนเรือ หรือเข้าหาเรือได้ เนื่องจากเรือของประภาคาร มีความเร็วเพียงแค่ 5ไมล์ ต่อชั่วโมงเท่านั้น จึงไม่สามารถแล่นตามได้ทัน และนั้นก็คืออีกครั้งที่ได้พบกับ เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง
ปลายทางอันแสนว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยปริศนาและความสยอง
ณ วันที่ 30 ม.ค. กัปตัน เฮนรี่ จอห์นสัน (Henry Johnson) กัปตันประจำ เรือ เอส.เอส. เลค อีลอน ได้พบเห็นเรือที่มี กระโดงเรือ 5 เสาแล่นอยู่ไกล ๆ เมื่อเวลา 15.30น.และหายไป ณ เวลา 17.45น. และเมื่อถึงเวลา 19.00น.เรือ เอส.เอส. เลค อีลอน ก็ได้มองเห็น สัญญาณไฟเตือนภัย ของเขตแนวสันทรายใต้น้ำ ณ เมืองไดมอนด์ และทำการหักเลี้ยวออกตามปกติ โดยมีเรืออีก 2 ลำที่คอยประกบเพื่อช่วยสื่อสารในการบังคับและตรวจสอบ และจากไปอย่างปกติสุข โดยที่การตรวจสอบจากวันนั้น ในเหตุการณ์ดังกล่าวที่เรือ เอส.เอส. เลค อีลอน ได้พบกับเรือเดียริ่ง ปกติแล้วหลังจากที่แล่นลับไป ตัวเรือเดียริ่ง ก็น่าจะไปถึงจุดของแหลมก่อน แต่ในวันนั้น ที่แหลมดังกล่าวได้บอกว่า นอกจากเรือของกัปตัน เฮนรี่ จอห์นสันแล้ว ก็ไม่มีเรือลำอื่น ที่มาบริเวณนี้อีกเลย และในวันต่อมาวันที่ 31 ม.ค. เจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจดูแลชายฝั่งก็ต้องตกใจถึงขีดสุด เมื่อพบเรือที่มีเสากระโดง 5เสา เกยตื้นอยู่ที่บริเวณสันทรายใต้น้ำ ณเมืองไดมอนด์ เขารีบแจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังหน่วยอื่น เพื่อขอกำลังสนับสนุนและอุปกรณ์ เพื่อเข้าช่วยเหลือเรือดังกล่าว ไม่นานนัก กำลังเสริมกับเหล่าหน่วยกู้ภัยก็มาถึง แต่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ เนื่องจากสภาพอากาศในวันนั้น ที่มีคลื่นลงแรงจนไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ในวันถัดมาได้มีการออกกำลังกู้ภัยอีกครั้ง สภาพของตัวเรือยังอยู่เกือบสมบูรณ์ มีเพียงส่วนของดาดฟ้าเรือ ที่ถูกคลื่นซัดจนผิดรูปเดิมไป แล้วน้ำทะเลก็เข้าไปเต้มท้องเรือ จึงไม่สามารถขยับเรือได้ ซึ่งหลังจากทำการตรวจสอบแล้วก็พบว่า ไม่มีลูกเรือหรือสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรือลำนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ยังมีอาหารที่จัดเตรียมไว้พร้อมที่จะรับประทานอยู่ และเรือกู้ชีพที่ติดอยู่กับเรือ ทั้ง 2 ลำได้หายไป เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังคงเป็นปริศนาว่าเหล่าลูกเรือและคนอื่น ๆ ที่อยู่บนนั้นหายไปไหน ไม่พบแม้แต่ศพ ไม่มีล่องลอยของการหายตัวหรือการต่อสู้ใด ๆ
สรุปเหตุการณ์ของเรือ เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง และการสันนิษฐานของผู้คน
เนื่องจากตัว เรือแคร์โรลล์เอเดียริ่ง ไม่สามารถขยับออกด้วยวิทยาการในสมัยนั้นได้ ทางการจึงสรุปให้ทำการระเบิดเรือลำดังกล่าวทิ้ง เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุกับเรือลำอื่น ๆ ที่จะเข้ามาเทียบท่าได้ ส่วนการสันนิษฐานของผู้คนในเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีเยอะแยะมากมาย
บ้างก็ว่า พวกลูกเรือและคนอื่น ๆ ได้ใช้เรือกู้ชีพหนีออกมาจากเรือที่ได้รับความเสียหายจากพายุอาจจะรอดหรือไม่รอดก็ได้ บ้างก็ว่าเป็นอาถรรพณ์จากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งในทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบให้กับเหตุการณ์นี้ได้
เขียนโดย : LRTeddies