เมื่อไหร่ก็ตามถ้าหากว่ามีการกล่าวขวัญ ถึงสิ่งประดิษฐ์หรือ สถาน ที่สำคัญ ในโลก ที่มันผิดยุคผิดสมัย คนโบราณก็จะแกะสลักไว้ตามฝาผนัง บทความนี้เราพาทุกท่านไปที่ เมืองเดนเดร่า ไปดูภาพแกะสลักที่สร้างความฉงน ให้กับหลายคนที่มีโอกาสได้เห็น แถมยังเป็นภาพของสิ่งประดิษฐ์ของฟาโรห์อย่าง หลอดไฟฟ้า ทำเอางานนี้ความน่าสนใจซึ่งเป็น ตำนาน โลก มากกว่า เกาะอีสเตอร์ ที่เราเห็นใน หนังผีเกาหลี
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่ามีนักเขียนชาวออสเตรียหนึ่งคนและวิศวกร การ์นได้มีการพูดถึงเจ้า ดวงไฟของฟาร์โร โบราณอันนี้ ว่ามันมีอยู่จริงแต่ว่ามันอยู่ผิดที่ผิดเวลา ภาพนี้มันได้ถูกแกะสลักหินและประดิษฐานอยู่ใน วิหารเดนเดรา ที่ชาวไอยคุปต์เคยอยู่ และเรียกได้ว่ามันเก่าแก่มากจนกลายเป็น ตำนาน ประวัติศาสตร์ ก่อนโทมัสอัลวาเอดิสันเกิดซะอีก
เมืองเดนเดร่า ที่อยู่ทางเหนือของลักซอร์
ตัว วิหารเดนเดรา นั้นอยู่หางจากเมืองลักซอร์ประมาณ 70 กม. และวิหารแห่งนี้มีความโดดเด่นเพราะว่าเสามีลักษณะคล้ายกันกับ เทพีฮาเธอร์ ที่ประดับอยู่ทางด้านหน้าของ วิหารเดนเดรา มีอยู่ด้วยกันถึง 6 ต้น และด้านในของห้องโถงหรือห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องนี้ก็คือห้องบูชา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายห้อง
แต่ว่าก็มีห้องบูชาที่ถือว่าเป็นห้องบูชาหลัก Sanctuary คือ สถาน ที่ ต้องห้าม ซึ่งห้องนี้เป็นห้องของเทพีฮาเธอร์ เป็นห้องที่เต็มไปด้วยรูปปั้นต่างๆ ที่มีตั้งแต่เรือศักดิ์สิทธิ์ ที่มีไว้เพื่อนำขบวนแห่
บริเวณทางด้านหลังก็ยังมีช่องทางที่จะเชื่อมต่อไปยังคูหาใต้ดินที่เรียกว่า Crypt และห้องนี้แหละค่ะที่เป็นห้องที่มีภาพถ่ายเจ้า ดวงไฟของฟาร์โร ที่ถือว่าสุดล้ำของยุคอียิปต์โบราณเลยทีเดียว และถ้าหากว่าอ้างอิงจากหนังสือที่สองคนนั้นได้เคยเขียนบอกว่า ภาพที่เป็นรูปหลอดไฟนั้น ยังประกอบไปด้วย ตัวนักบวชที่ถือหลอดไฟเป็นส่วนประกอบของตัวหลอด ที่ทำให้สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้า ที่ใช้การแกะสลักให้มีลักษณะเป็นรูปงู และปลั๊กก็แกะให้คล้ายรูปดอกบัว ที่ติดมากับสายไฟและไอโซเลเตอร์
สำหรับไอโซเลเตอร์นั้น ได้แสดงด้วยภาพเสาดีเจด ทางด้านข้างก็มีเทพเจ้ายืนถือมีด ก็คือสัญลักษณ์ของ ผู้นำแสงสว่าง ที่ได้จารึกประดับเอาไว้ และในภาพสลักนั้นก็ยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่งด้วย ซึ่งได้ตีความออกมาว่าเป็นการแสดงถึง กระแสไฟฟ้าที่มาจากตัวจ่ายพลังงาน ที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า Generator นั่นแหละค่ะ
ไขปริศนาของ ดวงไฟของฟาร์โร ที่เกี่ยวข้องกันกับเสาดีเจดจนกลายเป็น ตำนาน โลก
มีวิศวกรท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า การ์น เขาได้สนับสนุนแนวคิดนี้ ที่ว่าแผนโครงสร้างของเจ้าหลอดไฟฟ้า จากภาพที่ได้มาจากผนังในเมืองเดนเดร่า ซึ่งเขาได้ให้แนวคิดที่ว่าเจ้าหลอดไฟฟ้าอันนี้ มีแท่งโลหะอยู่ด้วยกันคือ 2 ชิ้น ที่มันสัมผัสกันกับแขนที่ชูขึ้นของเขาดีเจด ซึ่งมันอาจจะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ และทิ้งท้ายไว้ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับขนาดของหลอดไฟด้วย
เพราะถ้าหากว่าความดันภายในหลอดได้ถึง 40 มิลลิเมตรปรอท เจ้างูที่อยู่ในหลอดนั้นก็จะทำหน้าที่เป็นขดลวด ทำให้กระแสไฟไหลผ่าน และทำให้เกิดเป็นแสงสว่างได้ และเจ้างูตัวนี้ก็จะสามารถเลื้อยไปได้ยาวมากจนเต็มไปทั้งหลอด และนี่ก็คือหลักการในการทำให้หลอดไฟแห่งเดนเดร่า
แต่ว่าแนวคิดนี้อาจจะขัดแย้งหน่อย ก็ตรงที่ภาพของเสาดีเจดที่ชูแขนขึ้นทั้งสองข้าง ซึ่งสันนิษฐานกันว่ามันอาจจะทำหน้าที่เป็น ไอโซเลเตอร์ แต่ดูแล้วมันเข้าไปอยู่ในหลอดไฟด้วยนี่สิ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วภาพหลอดไฟนี้มีอยู่ด้วยกันถึง 6 หลอด และในอีก 5 หลอดที่เหลือนั้นเจ้าเสาดีเจดก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในตัวหลอดด้วย ทำให้หลายคนต่างก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ถ้าหากจะติดตามหลักการของ การ์น
เรามักจะเคยได้ยินมาแล้วบ้างว่า ภายในพีระมิดหรือพวกสิ่งมหัศจรรย์หลายๆ แห่งที่ชาวอียิปต์ได้สร้างเอาไว้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่เคยพบเลยว่ามันจะมีเขม่าควันเกาะติดอยู่เลย นั่นแสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่ง เดนเดร่า จะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าของจริง แต่พวกชาวอียิปต์โบราณพวกเขา ควรจะมีอุปกรณ์อะไรที่ให้แสงสว่างบ้างสิ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะสามารถวาดภาพหรือว่าแกะสลักในที่มืดๆไม่น่าจะได้ โดยเฉพาะพวกเขาจะมีตะเกียงอะไรที่ให้ความสว่างได้แบบไม่มีเขม่าควันเลย
สรุปถ้าหากว่าหลอดไฟฟ้าของ เมืองเดนเดร่า ไม่ใช่วิทยาการก้าวหน้าแล้วความหมายที่แท้จริงคืออะไร
เราไปดูตรงจารึกที่อยู่ทางด้านข้างหลอดไฟน่าจะเป็นคำตอบให้กับเราได้ค่ะ มันพูดถึงวัฏจักรและการโคจรของดวงอาทิตย์ที่ต้องหมุนไปจนถึงสิ้นสุดวันสุดท้ายของปีเก่าและกำลังจะเข้าสู่ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นของปีใหม่ ซึ่งมีการจัดงานและพิธีกรรมที่เฉลิมฉลองให้แก่สุริยเทพ และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับหลอดไฟฟ้าเลย
และงูที่นักเขียนชาวออสเตรียเคยจินตนาการไว้ว่ามันคือขดลวดที่เป็นตัวนำไฟฟ้านั้น ในตำนานของคนอียิปต์กลับบอกว่างูไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไฟฟ้านะ แล้วภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟก็คือหมายถึงท้องฟ้า ตอนรุ่งอรุณ และเจ้างูตัวปัญหาที่อยู่ในนั้นก็คือเพทฮาร์ซัมตัส หรืออีกร่างหนึ่งของ เทพฮอรัส ซึ่งเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ และเมื่องูมีการลอกคราบคนอียิปต์ก็จะมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เหมือนพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นวันใหม่ขึ้นมาทุกเช้าในแต่ละวันนั่นแหละ
ความจริงแล้วบรรดาสัญลักษณ์ที่ได้แสดงไว้นี้ คือสัญลักษณ์พั้นฐานของ ตำนาน โลก ที่เป็นความเชื่อของคนอียิปต์โบราณทั้งนั้นเลย แต่ถึงแม้ว่าอียิปต์โบราณและ ปราสาท อินเดีย จะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่สุดล้ำอะไรขนาดที่จะผลิตหลอดไฟฟ้าได้ก็จริง แต่เราก็ไม่ปฏิเสธกันใช่ไหมคะว่าวิทยาการของพวกเขานอกเหนือจาก เมืองเดนเดร่า นั้นก็มีอยู่จริงเช่นเดียวกับ รูปปั้น โมอาย แถมก้าวล้ำกว่ายุคสมัยของเราซะอีกจริงไหมคะ