เมืองที่มีกฎแปลก ประโยคนี้แน่นอนว่า ผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของความเป็นอยู่ และกฎหมายในประเทศต่าง ๆ ย่อมอยากหาคำตอบ
เมืองที่มีกฎแปลก คือเมืองที่มีชุมชนเล็ก ๆ ในประเทศนอร์เวย์ สถานที่ลึกลับ มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 3,000 คน เมืองที่มีชื่อว่า “ ลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) ” คืออีกหนึ่งเมืองที่มีกฎแปลก ที่อยู่ติดกับขั้วโลกเหนือมากที่สุด
ซึ่งในช่วงฤดูหนาว ตอนกลางคืน นั้นมีระยะเวลาที่นาน โดยอากาศจะหนาวจัดถึง 4 เดือนเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่อากาศจะหนาวจัดแล้ว เมืองดังกล่าว ก็ยังเป็นสถานที่ ที่น่าสนใจอย่างมาก ในกลุ่มนักท่องเที่ยว เป็นเพราะว่าเรื่องราวที่เล่าขาน และความงดงามของเมืองแห่งนี้ อีกทั้งยังออก กฎแปลกๆหลอนๆ ที่ฟังดูแล้ว มีความแปลกจากเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก
แต่เดิมทีนั้น ลองเยียร์เบียน คือชุมชนที่อยู่อาศัยของ คนงานในเหมืองถ่านหิน ซึ่งในขณะนั้นเหมืองถ่านหิน ที่อยู่ในชุมชนแห่งนี้ คือเหมืองถ่านหินที่ใหญ่ที่สุด ในสแกนดิเนเวีย ที่เรียกได้ว่าเป็นเหมืองถ่านที่มีขนาดใหญ่ และคนงานอยู่เป็นจำนวนมาก
และเมื่อปี 2001 (พ.ศ.2541-2548) เหมืองถ่านหินดังกล่าว หยุดการดำเนินกิจการ แต่กลุ่มคนงานที่อาศัยอยู่ก็ไม่ได้ ย้ายออกไปไหน ด้วยเหตุนี้เอง เมืองลองเยียร์เบียน จึงมีอาณาเขตที่กว้างขวางขึ้น และเป็นที่น่าสนใจในกลุ่มนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามกฎของ เมืองที่มีกฎแปลกแห่งนี้ ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นเหมือนกฎหมาย ถ้าหากมีการฝ่าฝืนก็ไม่ได้มีโทษให้ติดคุก ซึ่งถือว่าคือกฎที่เคร่งครัด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ต้องทำตามกฎที่พวกเขา ร่วมกันตั้งขึ้นมาว่ากันว่าจะมีกฎสองข้อ ที่ฟังแล้วอาจจะแปลก และหลายคนอาจเกิดความสงสัย แต่จริง ๆ การตั้งกฎเหล่านี้ มักมีเหตุผลเสมอ
สำหรับเหตุผล ลี้ลับลึกลับหลุดโลก ที่ไม่ควรตายในเมืองแห่งนี้ สืบเนื่องมาจาก สภาพภูมิศาสตร์ของเมือง ไม่สามารถฝังศพให้อยู่ใต้หิมะได้ เพราะจะทำให้ศพ ย่อยสลายได้ช้า อีกทั้งอาจจะส่งกลิ่นไปยังพวกหมีขั้วโลก ทำให้พวกมันเข้ามาคุ้ยเขี่ย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อประชากรในเมืองได้
ด้วยเหตุนี้เอง ถ้ามีผู้ป่วยที่ อาการหนัก หรือมีความเป็นไปได้ว่า จะเสียชีวิต อย่างแน่นอน ก็จะมีการส่งผู้ป่วย ให้ไปฝั่งใต้ของ ประเทศนอร์เวย์ เพื่อให้เข้ารักษาอาการ หรือเกิดเสียชีวิต ก็จะได้จัดการกับ ผู้ที่เสียชีวิตได้เลย
อีกกฎที่เป็นเรื่องการ ไม่ให้คลอดบุตร ที่เมืองลองเยียร์เบียน นั่นมีสาเหตุมาจากที่เมืองที่มีกฎแปลกแห่งนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งเครื่องมือในการทำคลอด ก็อาจจะไม่ค่อย มีความพร้อมมากนัก
ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อความปลอดภัยของลูกและแม่ จึงให้สตรีที่ตั้งครรภ์ย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองอื่นก่อน และอีกสิ่งที่สำคัญก็คือเพื่อลดความเสี่ยง ที่แม่และเด็ก อาจจะเสียชีวิต ในขณะที่ทำคลอดอีกด้วย
อีกกฎที่สุดแปลกก็คือ ในเมืองลองเยียร์เบียน ห้ามผู้คนเลี้ยงแมว และจะไม่มีแมวอยู่ใน เมืองที่มีกฎแปลกแห่งนี้เลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าแมว อาจจะทำร้ายนก ที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้นกสูญพันธุ์ได้ ไม่เพียงแค่มีกฎที่แปลก ๆ แล้ว ซึ่งเป็น กฎหมายที่ ต่างประเทศ มี แต่ ไทย ไม่มี
อีกเรื่องที่น่าสนใจ ในกลุ่มนักท่องเที่ยว ก็คือธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Bank) ที่อยู่ในพื้นที่ของเหมืองเก่า ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจาก ต้องการเก็บรักษา พันธุ์พืชให้คงอยู่ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ของ มนุษย์ หรือ สัตว์ต่าง ๆ
โดยพืชหลาย ๆ สายพันธุ์ อาจมีการสูญพันธุ์ หรือหาได้ยากแล้ว ซึ่งธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช ที่อยู่ในเมืองที่มีกฎแปลก ลองเยียร์เบียน มีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชมากถึง 700,000 พันธุ์เลยทีเดียว
อีกประเด็นที่มี การทำธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้ เนื่องจากว่าในอนาคต ถ้าเกิดภัยพิบัติที่รุนแรง หรือเกิดสงครามต่อสู้รบกัน เมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ ที่ถูกเก็บรักษาไว้ จะได้นำออกมาใช้ เพื่อเป็นอาหารให้กับประชากรบนโลกต่อไป เพราะถ้าหากไม่มีธนาคาร เพื่อกักเก็บเหล่าเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ นี้คงจะแย่แน่ ๆ หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดฝันขึ้น
หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า อาหารเป็นสิ่งที่จำเป็น ต่อการดำรงชีวิตของประชากรทุกคน ซึ่งอาหารนั้น มีที่มาจากการทำการเกษตร โดยพืชแต่ละอย่างที่เก็บเกี่ยวได้
เริ่มต้นมาจากเมล็ดพันธุ์ ที่มีวิธีการเพาะพันธุ์ ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แล้วแตกรากออกมาจนเจริญเติบโต ซึ่งนั่นก็หมายถึง เมล็ดพันธุ์ได้เป็นสิ่งที่สำคัญ ของการผลิตอาหาร ให้กับประชากรทั่วโลก รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ อีกด้วย
ธนาคารที่เก็บมล็ดพันธุ์ ได้มีการเก็บรักษา พืชพันธุ์หลากหลาย จากหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า อุโมงค์เมล็ดพันธุ์ที่สฟาลบาร์ สถานที่เก็บเมล็ดพันธุ์พืชที่สฟาลบาร์
คือสถานที่เก็บรักษา เมล็ดพรรณจากทั่วโลก สร้างอยู่บน เกาะสปีตสเบร์เกน ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งอยู่ติดบริเวณ เมืองลองเยียร์เบียน ตั้งอยู่ห่างจาก ขั้วโลกเหนือ ประมาณ 1,200 กิโลเมตร
สถานที่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความปลอดภัยสูง เพื่อป้องกันจากภัยพิบัติ หรือการโจมตีใด ๆ เมื่อเกิดเหตุศึกสงคราม เพราะว่าสร้างอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ของมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งต้องบอกอีกว่า เป็นอีกหนึ่งการก่อสร้างที่ใช้งบสูง และคุณภาพของการก่อสร้างนั้น แข็งแรงและปลอดภัยอย่างมาก ทนแดด ทนลม ทนฝน หรือแม้แต่การโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชโลก มีเอกลักษณ์เฉพาะ ก็คือเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่ลึกลงไป ที่ภูเขามากถึง 130 เมตร มีบริเวณทางเข้าที่มีส่วนยื่น ให้เห็นข้างนอก ทางเข้าได้ติดตั้งกล้อง อีกทั้งระบบรักษา ความปลอดภัยที่รัดกุม บริเวณข้างในอุโมงค์ จะเป็นพื้นที่สุญญากาศ กำแพงทุกด้าน สร้างขึ้นจากปูนผสมกับเหล็กกล้า ซึ่งจะมีความแข็งแรงต่อแผ่นดินไหว
รวมไปถึงการโจมตี ด้วยอาวุธต่าง ๆ เป็นที่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชมากมาย หลากหลายชนิดมาก ๆ ถูกเก็บไว้ที่อุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งเมล็ดพันธุ์พืชเหล่านั้น ถูกเก็บไว้เอาออกมาใช้เมื่อยามจำเป็น พืชพันธุ์จากหลายประเทศ มาจากการส่งเสริมจาก 3 ฝ่าย ก็คือ หน่วยงานรัฐบาลกองทุน เมล็ดพันธุ์พืชโลก และศูนย์ข้อมูล พันธุกรรมในนอร์ดิก
การก่อสร้างสถานที่แห่งนี้ ใช้งบประมาณ ที่สูงมากกว่า 280 ล้านบาท ในเวลาต่อมา กระทรวงการเกษตร ของประเทศนอร์เวย์ ได้มีการเปลี่ยนเป็น ระบบที่รักษา ความปลอดภัย เมล็ดพันธุ์พืชสฟาลบาร์ เพิ่มความแน่นหนาและแข็งแรงยิ่งขึ้น
โดยใช้งบประมาณถึง 453 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอุโมงค์ บริเวณหน้าประตู ไปจนถึงอาคารที่ทำจากปูน วัตถุประสงค์คือ ใช้เป็นสถานที่ จ่ายไฟฉุกเฉิน ในปัจจุบันนี้ มีเมล็ดพันธุ์พืชที่เก็บไว้มากกว่า 800,000 ชนิด ซึ่งสถานที่แห่งนี้ มีความสามารถในการเก็บเมล็ดพันธุ์ ได้มากกว่า 4,300 ล้านชนิดเลยทีเดียว แล้วถ้าหากไม่มีธนาคารเหล่านี้ ก็คงจะแย่น่าดูเหมือนกันนะ
เรียบเรียงโดย อลิส