ยังมีดินแดนหรืออาณาเขตลึกลับอย่าง สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งเคยกลืนกินผู้คนและยานพาหนะไปแล้วเป็นจำนวนมาก คือหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อก่อนมันคือพื้นที่ ที่เป็นดินแดน อาถรรพ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ต่อมาพวกนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาบอกว่า พื้นที่นั้นไม่ได้มีอาถรรพ์ หรือเรื่องราวที่เร้นลับอะไร เพราะว่าพื้นที่แถวนั้นมีสถิติของการสูญหายของเรือหรือว่าเครื่องบิน ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากที่อื่นในภูมิภาคของโลก ไม่ได้เป็นอย่าง เมืองเดนเดร่า หรือที่เคยนำเอามาแสดงเป็นภาพยนตร์ใน หนังสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หรือใน หนังผีตลก
ยังมีคำอธิบายต่อไปอีกว่า ถ้าหากว่าจะเทียบกันในเชิงสถิติของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า google map มาเทียบกับ สามเหลี่ยมอะแลสกา Alaska Triangle ที่เป็นสามเหลี่ยมอีกที่หนึ่ง ที่อยู่ในเขตของรัฐอแลสกาของอเมริกา ซึ่งถ้านับเอาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 มาก็มีเหตุการณ์ที่ผู้คนต้องสูญหายไปมากกว่า 20,000 คน เหมือนกัน
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา น่านน้ำ อาถรรพ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ปัจจุบันไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้อีกแล้วเพราะอะไร?
เป็นความจริงที่ว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 2000 น่าจะไม่เคยได้ยินชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอีกเลย แต่ว่าใครที่เกิดก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะพวกที่เกิดในยุค 90 จะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา แห่งนี้อย่างแน่นอน ซึ่งความจริงแล้วสามเหลี่ยม Bermuda อยู่ในพื้นที่ติดต่อกันของมหาสมุทร
เป็นเขตติดต่อกันคือ รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา ,เปอร์โตริโก และเบอร์มิวดา เป็นพื้นที่ที่ครอบคลุมถึงหลายแสนตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นพื้นที่ใหญ่ ทำให้มีการจราจรทั้งทางน้ำและอากาศที่คับคั่ง และมาถึงปี 1964 ก็ดันมีบทความที่เผยแพร่เรื่องราวความลึกลับของมัน
เบอร์มิวดา มาดังมาก็ตอนที่เรือเสบียงของสหรัฐหายไปทั้งลำ
มีผู้ที่เผยแพร่ได้รายงาน ว่ามีเรือเสบียงของทางกองทัพสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่า USS Cyclops หายออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องทิ้งระเบิดอีก 1 ลำที่เกิดสูญหายไปประมาณปี 1945 และยังมีเครื่องบินที่ค้นหาและพวกกู้ภัยที่หายตามไปอีกหลังจากที่ได้ถูกส่งออกไปให้ตามหา
มีข้อความของการสื่อสารของวิทยุว่าตอนนั้น นักบินเกิดไม่มั่นใจเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตัวเอง และดูเหมือนว่าเข็มทิศของนักบินมีการทำงานที่ผิดปกติขึ้นมา และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินลำนั้นก็ขาดการติดต่อ และไม่ได้กลับมาที่ฐานพร้อมกับไม่มีการติดต่อกลับมาอีกลย ทำให้ ความลับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไม่ลับอีกต่อไป กลับกลายเป็นข่าวที่กระพือไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกค่ะ
ทำให้หลายคนที่มีความเชื่อที่แตกต่างกัน ก็เอาเหตุผลของตัวเองมาเชื่อมโยง ซึ่งบางแนวความคิดที่ดูแล้วน่าจะมีความสมเหตุสมผลมากที่สุด แต่บางความคิดก็จินตนาการไปไกลเกินไป อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่ายุคนั้นเขาเป็นยุค ที่มีความสนใจเรื่องราวที่อยู่รอบๆ ตัวซึ่งเกี่ยวข้องกับความลี้ลับได้ง่าย
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดากลายเป็นหัวข้อ ที่ให้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ
และยิ่งสนใจมากๆ รวมไปถึงไม่มีหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มาไขข้อข้องใจทำให้หัวข้อนี้ ก็ไปพัวพันกับมนุษย์ต่างดาวซะงั้น แต่อย่างที่บอก คือเมื่อเวลาผ่านไปนาน มนุษย์ก็เริ่มจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น และวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็ดีขึ้น แถมด้วยพวกองค์กรของทางรัฐบาล ก็ต้องการที่จะรู้ความจริง
ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งคือ คาร์ล ครูซเซลนิคกิ เขามีสัญชาติออสเตรเลียได้ทำงานร่วมกันกับ NOAA ที่กล่าวอย่างมั่นใจ ว่าไม่มีความลึกลับหรือเรื่องที่เหนือธรรมชาติ ในสามเหลี่ยมเมอร์มิวดา ซึ่งเป็นการหายไปของเครื่องบินและเรือ ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือเป็นแค่ความน่าจะเป็นเท่านั้น
โดยที่นักวิทยาศาสตร์รายนี้บอกต่อไปว่า ไม่มีหลักฐานว่าการหายตัวไปอย่างลึกลับ ที่เกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ไม่ได้มีความถี่มากกว่าพื้นที่อื่นๆ หากเทียบกับการเดินเรือในมหาสมุทร และตามที่ระบุนั้น จำนวนของทั้งเรือและเครื่องบิน ที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตามสถิติแล้วก็ประมาณเดียวกันกับทุกที่ ที่เคยเกิดปัญหาเช่นเดียวกันนี้ทั่วโลก
ทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา
ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน จากเหตุการณ์ปริศนาที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ถกเถียงกันแต่ก็พอจะสรุปออกมาเป็นทฤษฎีความน่าจะเป็น สามเหลี่ยม เบอร์ มิ ว ด้า ปัจจุบัน ที่หลุดโลกไปเลยก็มี ซึ่งมีอะไรบ้างเราไปดูกันค่ะ
อย่างแรกทฤษฎีการแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก คือเป็นการเชื่อกันว่าเครื่องบินอาจจะถูกดูด โดยแรงดึงดูดของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งก็คือแรงโน้มถ่วงของโลกที่พุ่งดิ่งไปที่ทะเล เพราะว่าบริเวณนี้มีสนามแม่เหล็ก ที่ค่อนข้างเข้มข้น ทำให้เกิดความผิดพลาด ของเครื่องวัดระดับรวมไปถึงเข็มทิศ
อีกทฤษฎีหนึ่งที่ดูเหมือนหลุดโลกไปหน่อยก็คือ ทฤษฎีทะลุมิติ ที่ฟังแล้วก็น่าเหลือเชื่อ แต่เหตุผลก็คือเนื่องจากบริเวณนั้น อยู่ในจุดที่สมดุลของทั้งสนามแม่เหล็ก และสนามของแรงโน้มถ่วง ทำให้เกิดช่องว่างที่เชื่อมต่อกันในอีกมิติอื่น ซึ่งทฤษฎีนี้ถ้ามีอะไรหลงเข้าไปก็ไม่น่าจะกลับมาได้อีก
ทฤษฎีต่อไปที่เกี่ยวกับ ความลับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า คือมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งไม่ต้องฟังเหตุผลเพราะมันยากจะเข้าใจ แต่มีอีกทฤษฎีหนึ่งคือ กระแสน้ำวนที่ดูเหมือนน่าจะเป็นไปได้หน่อย และยังมีทฤษฎีอื่นๆ อีกด้วย
สรุป สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ความจริงหรือ ความลับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แม้นักวิทยาศาสตร์จะออกมายืนยัน ว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่เป็นความจริง และยังมีข้อสังเกตที่พอจะอธิบายได้ แต่เชื่อเลยว่ายังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่เชื่อว่าความลับของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นี้ยังไม่ถูกคลี่คลายและแต่ละฝ่ายต่างก็ปักใจเชื่อ ในทฤษฎีของพวกเขากันเอง ทำให้เรื่องราวของ อาถรรพ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า นี้ ยังกลายเป็นข้อถกเถียงกันไปอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งมันก็จะถูกปรับไปแต่ละแนวความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้นจริงๆ ค่ะ เพราะว่าความจริงแล้ว เกาะเบอร์มิวด้า กลายเป็นหมู่เกาะที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก