ผีในป่า ใครจะไปเชื่อว่า ในป่ามันมีผีอยู่จริง ๆ ซึ่งบอกเลยว่า นี่คือเรื่องจริงจาก ประสบการณ์ของตัวเอง มาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน
ผีในป่า สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกคน ในวันนี้ตัวผมเองนั้น อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ รวมเรื่องผี ที่เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ผีในป่า ซึ่งตัวของผมเองนั้น ได้ประสบพบเจอ มากับตัวเอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผีในป่า ในงานทอดกฐิน และบอกเลยว่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังลืมไม่ลง
ปกตินั้นจะเป็นประเพณี ทางพุทธศาสนา ที่ผมนั้นจะไปร่วมงานบุญ หลังจากที่ผ่านช่วงของ การจำพรรษาของพระสงฆ์ ที่ปวารณาจำพรรษา 3 เดือน เพื่ออยู่ภายในวัด
โดยการทอดกฐินนั้น ชาวพุทธทั่วไป อย่างเช่นชาวบ้านนั้น จะทำการรวบรวมเงิน เพื่อมาทำบุญเป็น งานบุญใหญ่ประจำปี ซึ่งตัวผมนั้นได้รับซองกฐิน มาจากรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งพี่เขานั้นเป็นคนใต้ และได้ชวนผมไปรวมทอดกฐิน ที่วัดแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้บ้านเขาที่อยู่ทางภาคใต้
ในตอนแรกนั้น ผมเองก็อยากจะปฏิเสธพี่เขา แต่ก็ถูกชักชวน พูดโน้มน้าวว่า หากทำบุญงานกฐินเสร็จ เดี๋ยวจะพานั่งเรือ ไปนั่งตกปลาเล่น ในทะเลกัน ผมก็เลยเห็นว่าตัวเองนั้น ไม่ได้เที่ยวทะเล มานานมากแล้ว ถ้าได้ไปงานบุญ แล้วเที่ยวทะเล ได้นั่งตกปลาก็คงจะดีไม่น้อย จะได้คิดว่าพักผ่อนไปในตัวด้วย ผมจึงตอบตกลงไป
และแล้ววันเวลา ที่ต้องไปทำบุญงานกฐิน ก็เข้ามาถึง โดยพวกผมทุกคนนั้น ต้องเดินทางไปด้วยรถเมล์ที่ได้ว่าจ้าง แบบเหมาคันมา เริ่มเดินทาง จากกรุงเทพฯ ในช่วงสาย เพราะกว่าจะไปถึงที่นั่น ก็น่าจะเป็นช่วงเย็น พอดิบพอดี จะได้นอนพักผ่อน 1 คืน ก่อนที่งานบุญจะเริ่ม ในเช้าของวันถัดไป และจะได้พักผ่อนต่อกัน
ก่อนจะเดินทางกัน พวกผมและรุ่นพี่นั้น ก็ได้ขนเหล้าที่ซื้อแบบยกลัง นำติดขึ้นรถไปด้วย เพื่อที่จะได้ดื่มและสังสรรค์ ในระหว่างเดินทาง โดยโชเฟอร์พี่คนขับรถ ก็เอ่ยปากบอกว่า ให้พวกผมนั้น ทำการพักผ่อนกันให้เต็มที่ เพราะการเดินทาง ไปที่จังหวัดนี้นั้น มันใช้เวลาในการเดินทาง ที่นานมาก ๆ ควรพักผ่อนไว้
แต่ผมเองก็บอกกันไปว่า ไม่เป็นไรหรอกพี่ มีพี่ขับ พวกผมกินเหล้า ไม่เป็นไรหรอก ถึงวัดเสร็จ พวกผมก็นอน ตื่นเช้ามาทำบุญ แค่นี้สบายกันอยู่แล้ว พี่คนขับรถ ก็หัวเราะ บอกว่าไม่เป็นไร ไอ้น้อง กินตามสบายเลย เดี๋ยวถ้ามีอะไร ก็เรียกได้เลยนะ พอดีพี่เอง ไม่มีเด็กมาด้วย เพราะต้องจ้างต่างหาก มีอะไรก็เรียกได้เลยนะ
ผีในป่า “และแล้ว การเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น เป็นการเดินทางไป ทำบุญงานทอดกฐิน ที่ตัวผมเองนั้น จะไม่มีวันลืมเลย”
ในสมัยนั้นถนนหนทาง ก็ยังไม่เจริญสักเท่าไหร่ การเดินทางของพวกผม จึงต้องอาศัยแสงในช่วงเช้า ให้ได้มากที่สุด และระหว่างเดินทางเอง พวกผมนั้น ก็ได้เริ่มสังสรรค์ ดื่มเหล้า และเต้น ร้องรำ ทำเพลง ตามประสาวัยรุ่น อยู่ที่บริเวณท้ายรถ กันอย่างสนุกสนานกันอยู่ตลอด
เวลาก็ได้ผ่านพ้นไป วิวทิวทัศน์ทุกอย่างก็คล้อยลง ไปตามวันเวลา ตัวผมเองนั้น ที่อยู่สภาพกรึ่ม ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าไม่ได้ถามคนขับเลยว่า ตอนนี้พวกผม นั้นได้เดินทางมาถึงไหนแล้ว เพราะมองเห็นว่า เป็นเวลาใกล้จะพลบค่ำ และฟ้ากำลังจะมืดลง ผมก็เลยประคองตัวเอง เดินฝ่าผู้ร่วมทางบนรถ ไปยังที่นั่งคนขับ
พอมาถึงที่ด้านหน้ารถ ผมก็เอ่ยปากถามโชเฟอร์ว่า “พี่ ๆ ตอนนี้พวกเรา มาถึงไหนกันแล้วครับ” พี่คนขับหันมาตอบ กับตัวผมว่า ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงแล้วล่ะ อีกสักพักหนึ่งเอง แค่ข้ามสะพานเกาะไป น้องไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวใกล้ถึงแล้ว พี่จะจอดรถขอพักก่อนสักนิดหนึ่งนะ เพราะตั้งแต่ขับมา ก็ยังไม่ได้จอดรถ พักเท่าไหร่เลย จอดพักมารอบเดียวเอง
ด้วยความที่ว่าพี่คนขับ เขาตอบมาแบบนั้น ผมก็สบายใจ และตอบกลับไปว่า โอเคครับพี่ ถ้าอย่างงั้น เดี๋ยวผมขอตัว ไปนั่งกินเหล้า ที่หลังรถต่อก่อนนะพี่ แล้วก็กลับวงไป และเวลาก็ผ่านไปสักพัก ก็ได้หยุดพักรถ พวกผมก็ลงรถเพื่อไปทำธุระส่วนตัว แล้วก็ขึ้นรถเอนหลัง จนเผลอหลับไป เพราะหวังว่าจะพักเสียหน่อย
“ตื่น ตื่น ไอ้น้อง ตื่น ถึงวัดแล้วเว้ย” ผมผงะตื่นหลังจากที่ ได้ยินเสียงพี่คนขับ ที่ได้เข้ามาเรียก และสะกิดตัว “อ้าว ถึงแล้วหรอครับพี่ ผมเผลอหลับไปกันหมด” ผมเองขยี้ขี้ตา สะลึมสะลือ มองไปทั่วรถ ก็มองเห็นว่า แก๊งขี้เมาหลังรถทุกคนยังไม่ตื่นกัน ผมจึงลุกเดินไปไล่ปลุก ทุกคนให้ตื่นขึ้น เพื่อที่จะได้ลงรถ แล้วไปพักผ่อน
หลังที่ปลุกทุกคนเสร็จ ภายในใจก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า พี่โชเฟอร์เข้ารู้จัก ทางเข้าวัดหรอ พลางสงสัย เลยเอ่ยปากถามรุ่นพี่ว่า “เออ พี่ ๆ คนขับเขารู้ทางหรอ ถึงพาผมมาได้ พี่เป็นเจ้าภาพกองกฐิน ยังเมาหลับอยู่เลย” หันมองไปที่รุ่นพี่ ที่ทำหน้าฉงนใจเช่นกัน พร้อมพูดมาว่า น่าจะมาถูกแหละ เพราะเขาบอกว่า เคยมาวิ่งส่งคน ที่งานวัดแถวนี้บ่อย
ผมทำหน้าสงสัย แต่ก็ไม่คิดอะไร พร้อมกับหิ้วของ เดินขึ้นศาลา และมองไปรอบวัด ก็มองเห็นบรรยากาศ ของเทศกาลงานวัด ที่คึกคักสไตล์บ้านนอก ที่ผมเคยเห็นกันทั่วไป มีมหรสพและหนังกลางแปลง ที่เป็นปกติทั่วไป ที่งานวัดงานบุญนั้นควรจะมี และก็เดินขึ้นเอาของขึ้นศาลา ก่อนที่จะพบกับ มักคนายกที่ยืนรออยู่ ที่บนศาลา
“ตามสบาย เลยนะทุกคน” เสียงของชายสูงวัย ที่พ่วงสำเนียงใต้ ของมัคนายกประจำวัด กล่าวทักทายทุกคน พร้อมชี้ที่หลับที่นอน ซึ่งได้เตรียมมาให้ และบอกว่า เดี๋ยวคืนนี้ ไปนอนที่กุฏิพระกันก่อนนะ เพราะเดี๋ยวแม่ครัวจะมาแต่เช้า ทำกับข้าวกัน เสียงอาจจะดังมาก จะรบกวนกันเปล่า ๆ ไปนอนพักกันที่กุฏิหลังเก่า กันก่อนนะ
พวกผมเองที่อยู่ใน สภาพพร้อมนอน ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คุณลุงได้เดินผ่านทางเดิน ที่รอบข้างนั้นเป็นสวนยาง ที่ตั้งเป็นแนว เป็นแถวยาวไป ขนานกับทางเดิน โดยในช่วงนี้ ก็ต้องเดินตามคุณลุง เพราะต้องใช้ไฟฉาย เพื่อส่องสว่างทางเดิน เพื่อเดินทางไปพัก ในส่วนด้านหลัง ที่มีกุฏิอยู่เรียบไปกับชายป่ายาง ด้านหลังวัด
เมื่อมาถึงที่พัก ที่ได้ถูกเตรียมไว้แล้ว เพื่อรองรับพวกผมโดยประมาณ 4 ห้อง บนกุฏิ 2 หลัง พวกผมก็ขนของ พร้อมเดินลงมา ถามกับลุงมัคนายกว่า ห้องน้ำอยู่ทางไหน พอลุงได้ยิน ก็กลางชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง ที่มีห้องน้ำตั้งอยู่ไม่ไกลตา แต่โดยรอบก็มีสิ่งปลูกสร้าง ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ขนาบอยู่ข้างทางเดิน พอเห็นแล้ว พวกผมก็พยักหน้า
พอเก็บของเสร็จสรรพ คุณลุงก็ได้พาพวกผม เดินกลับไปกินข้าวที่ศาลาใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางวัด หลังจากที่กินข้าวปลาเสร็จ ก็พร้อมที่จะกลับไปนอน เราเลยเดินไปถามลุงว่า ทางเดินมืดมาก คุณลุงจะให้พวกผมเดินกลับเอง หรือลุงจะไปส่งครับ พอสิ้นคำถาม ลุงมัคนายกก็ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวลุงต้องแยกย้าย กลับบ้านเหมือนกัน คงไปส่งไม่ได้หรอก
พร้อมกับนำกระบอกไฟฉาย 5-6 กระบอก มาจ่ายแจกให้กับพวกผม พร้อมกับพูดมาว่า “ถ้าเจออะไร ก็อย่าวิ่งนะ ตั้งสติให้ดี แล้วค่อย ๆ เดิน และอย่าเดินไป เข้าห้องน้ำคนเดียวเชียวล่ะ” อันนี้ลุงขอบอกไว้ก่อน พร้อมกับหัวเราะ พอได้ยินที่ลุง พูดออกมาแบบนั้น ผมก็รู้สึกสงสัย พร้อมถามกลับไปว่า ทำไมหรอครับ ที่วัดนี้มีอะไร ผมกับรุ่นพี่มองหน้ากัน
แกก็ตอบกลับมาว่า ไม่มีอะไรหรอก หยอกเล่นน่า กลับที่พักกันเถอะ เก็บแรงไว้พรุ่งนี้ แรงจะได้มี เพราะทำบุญแต่เช้านะ พวกผมทั้งที่ยังสงสัย ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง และตอบแกมหยอกว่า แหม ลุงเนี่ย..ก็เข้าใจแหย่พวกผมนะเนี่ย แล้วก็หัวเราะกันลั่น พอสักพัก พูดคุยกันเสร็จ พวกผมเองก็ได้ เดินกลับไปยังที่พัก ได้อย่างปกติ
ทุกคนจัดที่นอนกันเสร็จ แล้วก็เอนหลัง พักผ่อนกันตามสบาย รวมถึงด้วย เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็ลุกตื่นขึ้นมา พร้อมกับอาการปวดฉี่ เพราะอาจจะเป็นอาการของคน ที่กินเหล้าเข้าไปเยอะ จึงรีบลุกแล้วคว้าไฟฉายได้ เดินลงมาโดยไม่ได้เรียกคนอื่น ให้ตื่นมาเป็นเพื่อน เพราะกลัวรบกวนคนอื่น ที่กำลังหลับอยู่
และก็เดินลงบันได ลงมาเพื่อไปที่ยังห้องน้ำ ซึ่งต้องผ่านทางเดิน ที่มีโครงตึกปูนขนาบ ที่มีแนวจมอยู่บนพื้นดิน และเดินเข้าห้องน้ำ ก็รู้สึกเย็นสันหลังยะเยือก อย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีอะไรบางอย่าง กำลังจ้องมองอยู่ ความรู้สึกในตอนนั้น เย็นหลังวาบ ทำให้ผมเอง ก็รีบหันหลังกลับมามองทันควัน พร้อมกลับนำไฟฉาย ส่องไปด้านหน้า ไปยังจุดที่ผมนั้นสงสัย
และภาพที่เห็นก็คือ มีคนยืนอยู่ โดยสวมชุดสีขาว บนหัวไม่มีผม ในจังหวะนั้นเอง ผมถึงกับขนลุกซู่ เพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ในใจคิดว่า เอาแล้วไง เราเจอดีเข้าแล้ว เป็นผีหรือคนกันแน่นะ
เลยตะโกนถามออกไป ว่านั่นใครน่ะ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ร่างนั้นกลับขยับ และชักกระตุกอย่างรุนแรง ค่อย ๆ หันหน้า และค่อย ๆ เดินลากขา ทั้งที่ร่างกายยังคงกระตุกอยู่ เดินเข้ามาทางผม
ในจังหวะนั้น ผมเองก็รวบรวมสติ แล้วก็กำไฟฉายแน่น พร้อมกับวิ่งอ้าวออกมา จากหน้าห้องน้ำ สายตาจับจ้อง ไปที่เป้าหมาย นั่นก็คือกุฏิที่ทุกคนนอนอยู่ แล้วก็ตัดสินใจ ใส่เกียร์หมา วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ใส่แบบสุดกำลัง วิ่งสุดแรงเกิด โดยไม่หันหลัง กลับมามองอีก
และก็ได้ยิน เสียงฝีเท้า ผีในป่า ที่วิ่งตามมา ดังตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ อย่างรัว ๆ วิ่งตามเข้าใกล้ขึ้นมา ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ก็ยิ่งทำให้ผมนั้น ยิ่งเตลิดเข้าไปใหญ่ ด้วยความกลัว ผมรีบวิ่งจนมาถึงบันไดที่พัก กระโจนขึ้นบันได แล้วก็เปิดประตูเข้าไป ปิดประตูปัง ล็อกกลอนไม้ขัด พร้อมเอาผ้าห่มคลุมตัว
รุ่นพี่ของผม ก็ลุกตื่นขึ้นมา ทำหน้าสงสัย แล้วถามว่า เฮ้ย เองทำอะไรกันวะ เสียงดังชิบ ผมก็ตอบกลับไปว่า มีอะไรไม่รู้พี่ วิ่งไล่ตามผมมาพี่ ที่หน้าห้องน้ำ ผมก็เลยวิ่งหนีมา
แต่สีหน้าของพี่แกนั้น กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ พร้อมกับถามว่า เองแน่ใจหรอ ว่ามีอะไรวิ่งตามมา ไม่ได้ตาฝาดไปนะ อย่าล้อกันเล่น ในเวลาอย่างนี้ จนผมพูดไปว่า เจอคนใส่ชุดขาว ผีในป่า แล้วมองมาที่ผมครับพี่ ผมเลยวิ่งหนีมา ทางรุ่นพี่เอง ก็เริ่มทำสีหน้าเปลี่ยน เอ่ย ปากถามเบา ๆ ว่า ผีชุดขาว หรอ
ผมจึงยืนยันอีกครั้งว่า ใช่เลย ผีชุดขาว ผมไม่มีบนหัวสักเส้น แถมวิ่งเร็วมากด้วย ขนาดอยู่ตั้งไกล ยังวิ่งไล่ตาม ผมได้ยินเสียง ตามติดหลังมาเลย ขนาดวิ่งสุดชีวิตแล้ว แต่รุ่นพี่ก็พูดว่า เออ เมื่อกี้ มีผู้หญิงชุดขาว มาเคาะประตูด้วยนะเป็น แม่ชี แล้วแกก็ชี้ ไปที่ประตูบานหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ประตูหลัก ที่เรานั้นเดินขึ้นมากัน
ใช่ครับ มันคือประด้านข้าง ที่ไว้ใช้สำหรับเปิดรับลม ซึ่งประตู ก็บานใหญ่มากเช่นกัน ผมถึงตกใจหนัก มากกว่าเดิมอีกครั้ง เพราะประตูนั้น ไม่มีใครสามารถ จะมาเคาะได้หรอก มันไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะเป็นอาคารไม้ มี 2 ชั้น และสูงหลายเมตร การที่จะมีใครสักคน มาเคาะประตูนั้น ก็แปลว่าที่แห่งนี้นั้น ไม่ใช่ที่พวกเรา ที่จะต้องอยู่แล้ว นอกจากจะเป็น ผีในป่า แน่ ๆ ที่ผมเจอเมื่อกี้ และที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกผมแล้ว
เราทั้งสองคนเลยเดิน ปลุกทุกคนให้ตื่นหมด แล้วไปให้รีบ ขึ้นไปนอนศาลากันก่อน พอหลังจากที่ได้ ปลุกทุกคนกันเรียบร้อย และเล่าคร่าว ๆ ว่าผมเจอ ผีในป่า ที่หลอนสุด ๆ
เท่านั้นแหละ ทุกคนก็จะวิ่งกรูกัน เข้าไปอยู่บนศาลา พร้อมกันให้ได้ เพราะเนื่องจากว่า แม่ครัวก็น่าจะเริ่มเข้ามา ทำกับข้าวแล้ว คงไม่มีอะไรแน่ อย่างน้อยพระท่าน ก็คงยังพอช่วยได้ หากไม่มีอะไรที่ร้ายแรง
หลังจากที่พวกเรา รีบคว้าไฟฉาย รีบเร่งเดินมาถึง ที่ศาลาใหญ่ ก็กลับปรากฏว่า ศาลาใหญ่หลังนั้น ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว พวกเราทุกคนนั้น ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก แล้ววิ่งหนีไปที่รถบัส ที่จอดอยู่ไม่ไกล พร้อมกับรีบปลุกพี่คนขับ ให้ตื่นขึ้นมา เพื่อนำรถออกไปจากจุดตรงนี้ ให้ได้ไวที่สุด
โดยพี่คนขับ ก็รู้สึกตกใจ เมื่อพวกเรานั้น ก็ได้รีบบอกให้แกได้ฟังถึงเรื่อง ผีแม่ชีชุดขาว ผีในป่า ที่พวกเราทุกคนนั้นได้เจอกัน จากนั้นพี่โชเฟอร์ ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบสตาร์ทรถ และเหยียบคันเร่งจนมิด เพื่อที่จะได้ พาพวกเราทุกคนนั้น ให้ออกไปจากตรงนี้ ให้ไวที่สุด
ระหว่างที่นั่งรถออกมา ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง พระอาทิตย์เริ่มโผล่ ขึ้นมาจากขอบฟ้า พอทำให้มองเห็น ทางที่พวกเรานั้น ได้โดยสารเข้ามา โดยระหว่างสองข้างทางนั้น มีแต่ป่าทึบและสวนยาง ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ ต้นไม้หนา จนมองไม่เห็น ในส่วนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ
แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่สะดุดตา ของพวกเราทั้งคันรถ อยู่เป็นอย่างมาก นั่นก็คือพระสงฆ์ ที่เดินอยู่ข้างทาง ภายในด้านหน้า ในระหว่างที่ท้องฟ้า กำลังสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เราทุกคนก็รู้สึกสงสัยว่า จะใช่พระจริงรึเปล่า
แต่ทางพี่โชเฟอร์ มองเห็นพระรูปนั้น ก็เอ่ยปากออกมาว่า อ้าว นั่นหลวงพี่ ที่ผมเจอเมื่อวาน ก่อนขับรถเมล์ เลี้ยวตามเข้ามานี่หน่า พอเห็นอย่างนั้น คนขับก็ได้ชะลอรถลง จนจอดสนิท อยู่ภายหน้าของพระ และทุกคนก็ได้แต่มอง อย่างรู้สึกสงสัย ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ของเราทุกคน ในตอนนี้นั้น จะเป็นพระสงฆ์จริง ๆ รึเปล่า หรือเป็น ผี เป็นวิญญาณกันแน่
หลวงพี่ที่กำลังยืนอยู่ ตรงหน้าของทุกคน ก็ได้เอ่ยปาก ถามกับพวกเราว่า “อ้าว พวกโยม ขับรถมาจากทางไหนกันล่ะนั่น ทำไมโยมถึงมาทางนั้นได้ล่ะ” พร้อมกับมีสีหน้าที่รู้สึกสงสัย พอเห็นดังนั้น พี่คนขับก็ยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับเดินมาที่ประตูรถ และก้าวเท้าลงไปที่ข้างล่าง และพูดว่า หลวงพี่ครับ ไม่ทราบ ว่าเป็นพระ ของวัดที่นี่รึเปล่าครับ พร้อมยกมือไหว้
เมื่อวานนี้ ผมเห็นหลวงพี่ เดินเข้ามาทางนี้ แล้วก็ถนนมืดมาก คนบอกทางก็เมาหลับ แต่ผมพอจำทางได้ ว่าวัดที่จะทอดกฐินนั้น น่าจะอยู่แถวนี้ จึงขับรถตามเข้ามา โดยไม่ได้ถามทางใครเลย
เมื่อสิ้นคำถาม หลวงพี่ก็พยักหน้าและบอกว่า ใช่แล้วโยม อาตมาอยู่วัดนี้ แต่เป็นอีกวัดหนึ่ง ที่สร้างใหม่และย้ายอาคารทั้งหมด ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ที่ต้องเลยไปอีกสักระยะ
เมื่อวานพระเอง ไปเยี่ยมโยมมา หลังออกพรรษา เพราะเขานิมนต์ เลยเดินกลับมาไม่ทัน เห็นเป็นช่วงโพล้เพล้ เลยเดินตัดทางลัด ที่เคยเดินผ่าน เข้าวัดไปจากอีกฝั่ง แล้วพวกโยมล่ะ ไปทำอะไร ที่ไหนกันมา ทางนั้นเป็นทางวัดเก่า ที่เคยเป็นสำนักสงฆ์มาก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นวัด และย้ายไปสร้างใหม่ ที่ถนนฝั่งเดียวกันนี่แหละ ตั้งอยู่ถัดไป แล้วสีหน้าแตกตื่น นี่โยมไปทำอะไรกันมาหรือ
หลังจากนั้น พวกเราก็ได้เล่าเรื่องราว ที่ทุกคนได้พบเจอ ให้กับหลวงพี่ ได้ฟังทั้งหมด จากที่สรุปเรื่องราวได้นั้น ก็มีอยู่ว่า แต่ก่อนนั้น จุดตรงที่พวกเรา ได้เข้าถึง เคยเป็นสำนักสงฆ์ ที่ได้รับพลังศรัทธา ของชาวบ้านและผู้ใจบุญ มีคนเข้ามาทำบุญมากมาย จนสามารถซื้อที่ดินใหม่ได้ และมีชาวบ้าน ได้บริจาคที่ดิน เพิ่มเติมให้แก่ทางสำนักสงฆ์
จึงทำการขอเรื่องสร้างเป็นวัด และย้ายทุกอย่าง ไปอยู่ที่วัดอีกด้านหนึ่ง ที่ไม่ไกลกันมาก โดยห่างไปประมาณ 300 เมตร แต่ก็ยังไม่มีป้ายบอก เหลือเพียงไว้ แต่ป้ายไม้ ที่เป็นสำนักสงฆ์ โดยมีชื่อเดียวกัน แต่ก็ยังแขวนอยู่ที่เดิม เพื่อเป็นจุดสังเกต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้คนขับรถ ที่พาพวกเรามาทำบุญนั้น เกิดเข้าใจผิด ขับเข้ามาในส่วนนี้
หลังจากที่ทุกคน ได้เข้าไปพร้อมกับหลวงพี่ ที่ขึ้นรถมาด้วย เพื่อนำของที่ทิ้งไว้ กลับขึ้นรถทั้งหมด เราก็ได้เห็น สภาพทั้งหมดของที่แห่งนี้ โดยเป็นลานกว้าง รกร้าง แต่ยังมีเศษซาก ของสิ่งปลูกสร้างอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของ กุฏิไม้เก่า ที่ยังรื้อไปปลูกใหม่ได้ไม่หมด และห้องน้ำที่ยังไม่ได้ทำการรื้อถอน
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรา นั้นรู้สึกตกใจมากกว่านั้น นั่นก็คือรูปภาพของ ผีในป่า หรือแม่ชี และลุงมัคนายก พร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ได้เจอ อยู่บนศาลาทั้งหมดนั้น เรียงรายอยู่บริเวณโดยรอบ ของอาคารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ที่มีกระถางธูป ดอกไม้ และอาหารตั้งไว้ โดยหลวงพี่บอกว่า ตรงนี้ยังไม่ได้ทำการขนย้าย เถ้ากระดูกและโกศเก็บอัฐิของผู้ตาย ไปยังวัดใหม่ เพราะโกดังเก็บศพ กำลังจะสร้างเสร็จ
จึงนำมาพักเอาไว้ ให้อยู่ที่ศาลาเล็กแห่งนี้ก่อน และกำลังจะขนย้าย หลังจากออกพรรษา ทำงานบุญกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งก็เกิดเป็นคำถามที่ว่า เรื่องเมื่อคืน ผีในป่า ที่พวกเราทุกคนนั้น ได้พบเจอมา นั่นคืออะไรกันทั้งเรื่องผี วิญญาณ ทั้งงานวัด มหรสพ ร้านรวง ผู้คน และอาหารที่ได้กินกัน ทุกอย่างนั้น มันคืออะไรกัน ทุกอย่างคือเหมือนจริง ไม่ใช่ความฝัน
และคนที่เจอ ผีในป่า ก็มีจำนวนมาก ทั้งหมดคันรถ หลังจากที่พวกเรา ได้จุดธูปไหว้รูปของ ผีในป่า ทุกคนที่เราได้เจอ หลวงพี่ก็ได้พาพวกเราไปยัง วัดแห่งใหม่ ที่มีงานบุญกฐิน ซึ่งงานนั้น ก็ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
ส่วนตัวผมเองก็ได้ไปเที่ยว กับรุ่นพี่อยู่อีกหนึ่งวัน และก็เดินทางกลับ ด้วยรถประจำทาง ภายในใจก็ได้แต่คิดว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่เมาหลับ ตอนนั่งรถเดินทางอีกแล้ว เข็ดแล้วจริง ๆ แล้วเรื่อง ผีในป่า ที่ผมได้เจอมา เอาจริง ๆ ยังติดตาผมอยู่ยันทุกวันนี้
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคน จงเดินทางปลอดภัย และโชคดี ในขณะที่กำลังไปทำบุญ ในงานทอดกฐิน หลังออกพรรษานี้กันครับ ครั้งหน้าผมจะมาเขียนเรื่อง ลี้ลับลึกลับหลุดโลก ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันใหม่ สวัสดีครับ
เขียนโดย อลิส